จดเลย 5 สูตร เมนูอาหารง่าย ๆ ทำขายออนไลน์ได้ที่บ้าน

แบ่งปันสูตร 5 เมนูอาหารง่าย ๆ สำหรับคนที่อยากทำขายออนไลน์ ทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน เพียงแค่มีวัสดุคุณภาพก็สามารถขายได้ สนใจคลิกอ่านเลย

อ่านบทความ

ทริกลับสูตรเบเกอรีโฮมเมด! เลเยอร์เค้กปราบเซียนที่ใครก็ทำได้

ทริกลับสูตรเบเกอรีโฮมเมด! เลเยอร์เค้กปราบเซียนที่ใครก็ทำได้ เผยเคล็ดลับสุดโปรที่นักทำขนมมืออาชีพใช้! ตัวช่วยเปลี่ยนเมนู “เลเยอร์เค้กปราบเซียน” ให้กลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด พร้อมยกระดับรสชาติสูตรเบเกอรีโฮมเมดแบบธรรมดา ให้อร่อยได้เหมือนมีมืออาชีพมาทำให้กินเองถึงบ้าน ใครพร้อมลงครัว ก้าวข้ามความท้าทายของเมนูปราบเซียนนี้แล้ว ห้ามพลาดเทคนิคไม่ลับ ที่จะมาเฉลยพ้อยท์ลับของเนื้อเค้กนุ่ม ชุ่มฉ่ำ พร้อมประกอบร่างได้ง่าย ราวกับจัดวาง! 4 จุดพลาดที่ทำให้เลเยอร์เค้ก “พัง” ก่อนจะไปดูเทคนิคการทำเลเยอร์เค้กให้ถอดแบบได้ตามสูตรเบเกอรีโฮมเมดนั้น ต้องทำความเข้าใจจุดผิดพลาดที่เป็นสาเหตุความ “พัง” ของชั้นเค้กให้เข้าใจเสียก่อน จะได้รับมือถูกว่าส่วนไหนที่ต้องระวัง พร้อมฝึกปรือฝีมือไปกับขั้นตอนการทำเลเยอร์เค้กที่สมบูรณ์แบบ จุดพลาดที่ 1 : วางชั้นเค้กไม่สม่ำเสมอ ชั้นเค้กที่ดูไม่สม่ำเสมออาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นไม่ความชำนาญในการวางชั้นเค้ก, ความไม่สมบูรณ์ของรูปทรงที่เกิดจากปัญหาเนื้อเค้กยุบ ตลอดจนปัญหาเนื้อเค้กแห้งกระด้าง และการถอดพิมพ์เค้ก ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้การประกอบร่างเลเยอร์เค้กมักไม่สมดุล จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการโค่นล้มสูง อย่างไรก็ตาม จุดผิดพลาดดังกล่าวก็มีวิธีแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ไม้ปลายทู่ดามเนื้อเค้ก ซึ่งทริกนี้ก็ปรากฏอยู่ในสูตรเบเกอรีโฮมเมดมากมายในปัจจุบัน แถมยังเป็นการแก้ปัญหาเบื้องต้นที่ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่สามารถครอบคลุมไปยังต้นเหตุของความผิดพลาดได้อย่างแท้จริง จุดพลาดที่ 2 : ตัดชั้นเค้กในขณะที่ยังอุ่น หลายครั้งที่ความผิดพลาดของเชฟขนมหวานมือใหม่มักเกิดมาจาก “ความใจร้อน” รีบเร่งที่จะไปสู่ขั้นตอนถัด ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเมนูเค้กที่ต้องอาศัยความใจเย็น ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก อาทิ อุณหภูมิหลังอบที่สำคัญต่อเนื้อเค้ก หากเร่งหั่นเพื่อแบ่งชั้นโดยทันที ในขณะที่ยังมีความอุ่น สิ่งที่จะตามมาคือ การแตกและรุ่ยของเนื้อเค้ก ซึ่งจะส่งผลต่อการประกอบเลเยอร์อย่างแน่นอน ดังนั้น เพื่อที่จะลดโอกาสในการเกิดข้อผิดพลาดนี้ เพียงแค่ถอดวิธีทำตามขั้นตอนในสูตรเบเกอรีโฮมเมดแบบเป๊ะ ๆ ทุกตัวอักษร โดยห้าม “ละเลย” แม้แต่ขั้นตอนเดียว ขั้นตอนไหนที่จำเป็นต้องรอก็ควรรอ ขั้นตอนไหนสามารถดำเนินการต่อก็ลุยได้เลยทันที เพียงเท่านี้ก็จัดการปัญหาเนื้อเค้กแตกรุ่ยจากอุณหภูมิและการผสมที่ผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย จุดพลาดที่ 3 : ชั้นครีมไม่เกาะตัวเค้ก รู้ไหมว่าฟรอสติ้งครีม หรือเนื้อครีมเคลือบขนมเค้กที่มีทั้งแบบวิปครีม บัตเตอร์ ครีมชีส และช็อกโกแลตกานาซ ซึ่งนอกจากให้ความอร่อยแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเชื่อมยึดระหว่างชั้นเค้กให้เกิดการบาลานซ์ที่สมดุล จึงไม่แปลกที่ข้อผิดพลาดหลาย ๆ ครั้ง มักจะเกิดจากการไม่เกาะตัวของเนื้อครีม จนทำให้เค้กโค่นหรือล้มลงมาได้ ซึ่งการที่ครีมฟรอสติ้งไม่สามารถเกาะเนื้อเค้กได้นั้น เกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากชั้นเค้กที่ไปทำให้เนื้อครีมนิ่มและเหลวตัวลง ตลอดจนความแห้งและกระด้างของเนื้อเค้กที่เกิดจากความผิดพลาดของส่วนผสมในสูตรเบเกอรีโฮมเมดที่เลือกใช้ ตลอดจนเวลาในการอบที่นานเกินไป ซึ่งก็สามารถแก้ได้ง่าย ๆ ด้วยการพรมน้ำเชื่อมเพิ่มความชุ่มชื้นแทน จุดพลาดที่ 4 : ไม่รู้เทคนิคการปาดครีมเค้ก ในส่วนนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ข้อผิดพลาดทางเทคนิคที่เกี่ยวกับการปาดครีมเค้ก ได้แก่ ครีมชั้นใน และครีมชั้นนอก ซึ่งทั้งสองส่วนต่างก็มีความสำคัญในการพยุงเลเยอร์เค้กด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่มีวิธีบอกเทคนิคการทำแบบลงลึกในสูตรเบเกอรีทั่ว ๆ ไป เนื่องจากเป็นเรื่องของเทคนิคที่ต้องใช้เวลาในการฝึกปรือ เทคนิคการปาดครีมชั้นใน : สำหรับสูตรเบเกอรีโฮมเมดที่เน้นรสชาติเค้กไปทางความบางเบา ความสดชื่นจากแยมหรือเนื้อผลไม้ เนื้อครีมชั้นในควรปาดและสร้างเอาไว้เพื่อใส่ไส้ใน แทนการปาดแยมลงไปทับหรือวางเนื้อผลไม้ทันที เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่สมดุล จนทำให้เค้กล้มได้ …

อ่านบทความ

ไขความลับสูตรเบเกอรี่โฮมเมดด้วย Invert Sugar อร่อยชุ่มฉ่ำ ตรงปก

หลายครั้งที่อบขนมตามสูตรเบเกอรี่โฮมเมดแล้วผลลัพธ์ไม่ได้ดั่งใจ ทั้ง ๆ ที่ใช้ส่วนผสมตามสูตร ลองทางเลือกใหม่ด้วยน้ำเชื่อม Invert Sugar ทางลัดสูตรอร่อย

อ่านบทความ

เผย 5 เคล็ดลับเปิดร้านชาไข่มุกให้ขายดีได้โดยไม่พึ่งแฟรนไชส์

5 เทคนิคเปิดร้านชาไข่มุก พิชิตยอดขาย ไม่ต้องพึ่งแฟรนไชส์ ต้องยอมรับว่าชาไข่มุกคือเครื่องดื่มยอดนิยมของวัยรุ่นและวัยทำงาน จึงไม่น่าแปลกใจที่การเปิดร้านชาไข่มุกจะเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน แต่การซื้อแฟรนไชส์ร้านชาไข่มุกต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ดังนั้นการเปิดร้านชานมไข่มุกด้วยตัวเองคงเป็นทางออกที่ดี ถึงแม้จะใช้เวลาเตรียมการมากกว่าการซื้อแฟรนไชส์สักหน่อย แต่การเปิดร้านชานมไข่มุกแบบไม่ง้อแฟรนไชส์ จะทำให้คุณสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ว่าการออกแบบโลโก้ รูปแบบร้าน รวมไปถึงการรังสรรค์เมนู ก็สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองได้อย่างเต็มที่  รวมถึงสามารถเลือกวัตถุดิบได้เอง ไม่จำเป็นต้องใช้แต่วัตถุดิบที่ถูกกำหนดมาจากทางแฟรนไชส์เท่านั้น บทความนี้มี 5 เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณสามารถเปิดร้านชานมไข่มุกให้ขายได้โดยไม่พึ่งแฟรนไชส์มาบอกกัน 5 เทคนิคเปิดร้านชาไข่มุก สร้างแบรนด์ด้วยตนเอง 1. วางแผนการลงทุนให้ดี คำนวณต้นทุนอย่างถี่ถ้วน ในการเริ่มต้นธุรกิจสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก การวางแผนการลงทุนให้ดี ต้องรู้ว่ามีเงินสำหรับเป็นค่าร้านเท่าไร เพื่อที่จะออกแบบร้านให้พอเหมาะกับเงินทุนที่มี แต่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซปต์ของร้านอย่างที่ตั้งใจสำหรับอุปกรณ์ภายในร้านและอุปกรณ์ในการชงชา ควรเลือกซื้อของมีคุณภาพแต่ราคาไม่แพง และหาได้ทั่วไปตามท้องตลาด เพื่อในอนาคตต้องซื้อเพิ่ม เปลี่ยนใหม่ หรือซ่อมแซมจะได้ไม่ยุ่งยากนอกจากนี้ ยังมีค่าวัตถุดิบ อีกหนึ่งต้นทุนสำคัญที่ต้องคำนวณอย่างระมัดระวังมากที่สุด โดยต้องดูว่าค่าวัตถุดิบที่ต้องซื้อในแต่ละครั้งเป็นเท่าไร ในการซื้อวัตถุดิบหนึ่งครั้งสามารถชงชาไข่มุกได้กี่แก้ว และต้องคำนึงถึงการสต็อกวัถุดิบด้วย เพื่อป้องกันการซื้อวัตถุดิบมาเยอะเกินความจำเป็น แล้วสุดท้ายหมดอายุ กลายเป็นของเสียและต้องทิ้งไปในที่สุด จนกลายเป็นเงินทุนที่จมลงไปอย่างเปล่าประโยชน์  2. เลือกทำเลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้ง เพื่อเปิดร้านชาไข่มุก สิ่งแรกที่คุณต้องรู้ คือ กลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นใคร เพราะทำเลที่ตั้งที่จะเลือกนั้น ควรอยู่ใกล้กลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น– กลุ่มเป้าหมายเป็นคนวัยทำงาน ก็ควรเลือกที่ตั้งร้านในย่านที่มีตึกออฟฟิศให้เช่า หรือย่านธุรกิจที่ตั้งของสำนักงานต่าง ๆ– กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น ก็ควรเลือกตั้งร้านใกล้กับโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือแหล่งที่วัยรุ่นมักไปแฮงก์เอาต์กัน–  กลุ่มเป้าหมายเป็นครอบครัว ก็ควรเลือกตั้งร้านในหรือใกล้หมู่บ้าน ใกล้ตลาด หรือในแหล่งชุมชนเหตุผลที่ต้องเลือกทำเลที่ตั้ง เพื่อเปิดร้านชาไข่มุกตามกลุ่มเป้าหมายหลักก็เพราะว่าตอนที่คุณเปิดร้าน กลุ่มเป้าหมายของคุณก็จะเป็นคนแรก ๆ ที่มาลองชิมเครื่องดื่มของคุณ ถ้ารสชาติของเครื่องดื่มอร่อยถูกใจและถูกปากลูกค้าก็จะทำให้เกิดการบอกต่อ และฐานลูกค้าก็จะขยายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น 3. รสชาติคือหัวใจ เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ สำหรับการเปิดร้านขายอาหารหรือเครื่องดื่มนั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าหัวใจสำคัญคือเรื่องรสชาติ เพราะถึงคุณมีหน้าร้านสวย ราคาถูก แต่รสชาติไม่ดี ก็เป็นไปได้ยากที่จะเปิดร้านได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเปิดร้านชาไข่มุก ที่มีจำนวนคู่แข่งค่อนข้างมาก สิ่งที่จะทำให้คุณเอาชนะคู่แข่งได้นั่นก็คือ รสชาติที่ดี และการสร้างสรรค์เมนูที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นนั่นเองการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาไข่มุกของร้านมีรสชาติที่โดดเด่นแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นผงชา เม็ดไข่มุก ควรเลือกยี่ห้อที่ได้รับความนิยม หรือเป็นที่ยอมรับ และที่สำคัญในการชงชา ควรเลือกใช้น้ำเชื่อมแทนน้ำตาล  เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม และระดับความหวานที่คงที่ ซึ่งเราขอแนะนำน้ำเชื่อมมิตรผล 2 สูตร ให้คุณได้เลือกตามความเหมาะสม ซึ่งแต่ละสูตรต่างสร้างรสสัมผัสให้ชาที่แตกต่างกันออกไป– น้ำเชื่อมเข้มข้น สูตรดั้งเดิม มีสีใส ช่วยทำให้เนื้อสัมผัสทุกเมนูเนียนนุ่ม จึงเป็นที่นิยมสำหรับการนำไปทำเมนูเครื่องดื่ม มีระดับความหวานคงที่ และสามารถเก็บรักษาได้นานกว่าน้ำเชื่อมแบบปกติ–  น้ำเชื่อมโกลเด้น ไซรัป เกิดจากน้ำเชื่อมมิตรผลสูตรดั้งเดิมมาผสมกับน้ำเชื่อมจากอ้อยธรรมชาติ ทำให้มีสีทองช่วยเพิ่มสีสันให้เมนูเครื่องดื่มได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังมีกลิ่นหอมและรสชาติจากอ้อยธรรมชาติ และสามารถเก็บรักษาได้นานกว่าน้ำเชื่อมแบบปกติอีกด้วย 4. สร้างจุดขาย สร้างแบรนด์ให้สุดปัง อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่าร้านชาไข่มุกเป็นที่นิยมของทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน …

อ่านบทความ

3 สูตรน้ำยำเงินล้าน! พื้นฐานความอร่อยรสเด็ด ต่อยอดได้หลายเมนู

แจกสูตรน้ำยำเงินล้าน แกะรอยความอร่อยร้านดังพร้อมโกยกำไร อร่อยเด็ดเจ็ดย่านน้ำ แถมสร้างรายได้แบบไม่พัก! นิยามนี้ต้องมอบให้แก่ “เมนูสารพัดยำ” ที่กอบโกยกำไรจากกลุ่มลูกค้าสายอาหารรสแซ่บ ด้วยความนัวของรสชาติที่กลมกล่อม จึงไม่แปลกที่เมนูยำกลายเป็นกระแสฮิตติดลมบน วันนี้มิตรผลเลยอดใจไม่ไหว ต้องขอหยิบสูตรน้ำยำเงินล้านมาบอกต่อ จะทำกินเองที่บ้านก็ดี จะทำขายก็ปังแน่นอน “น้ำตาลเคี่ยว” เคล็ดลับความอร่อยของทุกสูตรน้ำยำ ภายใต้ความอร่อยสูตรเด็ดของน้ำยำพื้นฐาน รู้ไหมว่ารสชาติกลมกล่อมนั้นมาจาก “น้ำตาลเคี่ยว” ที่ปรุงรสหวานเค็มได้อย่างสมดุล โดยทั่วไปจะใช้น้ำตาลโตนด แต่สูตรนี้จะใช้น้ำเชื่อมเข้มข้น ตรามิตรผล ตัวช่วยลดระยะเวลาการเคี่ยว พร้อมปรุงรสได้อย่างกลมกล่อม หวานแบบคงที่  ด้วยสัดส่วนมาตรฐานที่สามารถวัดตวงได้จากการตักผสมนั่นเอง ส่วนผสม: น้ำตาลเคี่ยว น้ำเชื่อมเข้มข้น ตรามิตรผล 300 กรัม น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ น้ำกระเทียมดอง 50 มิลลิลิตร น้ำปลา 5 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ: น้ำตาลเคี่ยว เทน้ำเชื่อมเข้มข้น ตรามิตรผล ลงไปในหม้อ ตามด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำกระเทียมดอง และน้ำปลา เปิดเตาใช้ไฟกลางค่อนอ่อน ปล่อยให้ส่วนผสมเริ่มละลายเข้ากันดี ต้มไปเรื่อย ๆ จนเริ่มเดือด ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน หมั่นคนเรื่อย ๆ เคี่ยวต่อไป 45 นาที รอจนกลิ่นมะขามเปียกจางลง ปิดเตา รอจนเย็นสนิท ก่อนจะเก็บในภาชนะที่มิดชิด ใช้ได้นาน 3 สูตรน้ำยำพื้นฐาน : แกะรอยความอร่อยจากร้านดัง! ใครก็รู้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ติดทานอาหารรสจัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน กลมกล่อมแบบลงตัว ซึ่งอาหารประเภท “ยำ” ก็จัดได้ว่าเป็นเมนูที่มีครบทุกความอร่อยที่คนไทยมองหา แถมยังมีความหลากหลาย พลิกแพลงใส่วัตถุดิบได้ตามความต้องการได้อย่างลงตัว นี่คือเสน่ห์ของอาหารจานยำอย่างแท้จริง แต่กระแสฟีเวอร์ที่ทำให้คนหันมาทานยำกันทั่วไทยก็ไม่ได้มาจากความชอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สูตรน้ำยำที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของแต่ละร้านดังก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ตรึงใจให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำ แถมยังบอกต่อ และนี่คือ 3 สูตรน้ำยำพื้นฐานที่เราแกะรอยความอร่อยมาฝาก ทั้งยังปรับสูตรให้ง่ายขึ้นด้วยการใช้น้ำตาลเคี่ยวสูตรลัดจาก น้ำเชื่อมเข้มข้น ตรามิตรผล  สูตร 1 : น้ำยำใส น้ำยำที่คุ้นเคยด้วยรสชาติที่เข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน “เค็ม หวาน เปรี้ยว เผ็ด” ถือเป็นนิยามความอร่อยของสูตรน้ำยำแบบใสที่สามารถเข้ากันได้กับทุกวัตถุดิบ ส่วนผสม: น้ำยำใส (สำหรับ 1 ที่) พริกจินดาแดงซอย 8 เม็ด น้ำตาลเคี่ยว ½ ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ: น้ำยำใส …

อ่านบทความ

รู้จัก “น้ำตาลอ้อย” เคล็ดลับความหอมหวาน คู่จานอาหารไทย

1. ประวัติศาสตร์ “น้ำตาล” รู้หรือไม่ว่า “น้ำตาล” เครื่องปรุงให้รสหวานที่เป็นที่นิยมและขาดไม่ได้ในทุกครัวเรือนนั้น มีแหล่งกำเนิดที่ไกลจากประเทศไทย และชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก นั่นก็คือ หมู่เกาะปาปัวนิวกินี มาจากพืชชนิดหนึ่งนั่นก็คือ “ต้นอ้อย หรือ ต้นน้ำตาล” โดยชาวโพลีนีเซียนเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้จักรสหวานจากน้ำตาลอ้อยและเพาะปลูกต้นอ้อยเมื่อราวๆ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล จากนั้นต้นอ้อย ก็ได้แพร่กระจายผ่านหมู่เกาะโซโลมอนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไปจรดยังอินเดีย ซึ่งในช่วงแรกนั้นมนุษย์ได้ความหวานจากต้นอ้อยโดยการเคี้ยว ก่อนที่จะมีการค้นพบวิธีทำให้น้ำหวานของอ้อยตกผลึกเป็นน้ำตาลเกล็ด ซึ่งทำให้ง่ายต่อการขนส่งและการจัดเก็บมากยื่งขึ้น และคำว่า Sugar ที่เราคุ้นเคยกันนั้นก็ได้รากศัพท์มาจากคำว่า Sarkar ที่แปลว่าเกล็ด, เมล็ดเล็ก ๆ นั่นเอง และวันนี้เราขอพามารู้จักน้ำตาลอีก 1 ชนิดที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นจากเทรนด์การใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารที่มาจากธรรมชาติ ผ่านการปรุงแต่งน้อย นั่นก้คือน้ำตาลอ้อยธรรมชาตินั่นเอง มาดูกันว่าน้ำตาลอ้อยธรรมชาติมีกระบวนการผลิตที่คงความเป็นธรรมชาติอย่างไร 2. กระบวนผลิตน้ำตาล จากน้ำหวาน มาเป็น เกล็ดผลึก โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตน้ำตาลนั้นจะเริ่มจากการสกัดอ้อยสด จนได้ออกมาเป็นน้ำอ้อยเหมือนกัน ซึ่งกากอ้อยที่ผ่านการสกัดน้ำอ้อยออกแล้วจะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตน้ำตาลทรายอีกด้วย อย่างมิตรผล น้ำตาลอ้อยธรรมชาติ เมื่อผ่านกระบวนการสกัดจนได้น้ำอ้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการกรองจนได้น้ำอ้อยใสที่สะอาดไร้สิ่งเจือปน จากนั้นจะนำไปเข้ากระบวนการ ต้ม เคี่ยว ปั่น และอบแห้ง จนได้เป็นเป็นผลึกน้ำตาลที่คงความหอมหวาน คงสีสัน และยังคงคุณค่าจากอ้อยธรรมชาติไว้ 100% 3. แล้วน้ำตาลอ้อยธรรมชาติใช้ได้ในเมนูไหนบ้างล่ะ จริง ๆ แล้ว น้ำตาลอ้อยธรรมชาติให้ความหวานใกล้เคียงกับน้ำตาลทรายขาว แต่จะเพิ่มกลิ่นหอมและสีสันจากอ้อยธรรมชาติเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เรียกว่าใช้แทนกันได้หลากหลายเมนู และโดยปกติแล้วถ้าพูดถึงการใช้น้ำตาลนั้น คนเรามักจะนึกถึงเมนูที่เป็นขนมหวาน ไม่ก็จะเป็นเครื่องดื่มที่เย็นชื่นใจ แต่อาหารคาวนั้น คนเรามักจะหลงลืมการให้ความสำคัญของน้ำตาลที่ทำหน้าที่ช่วยทำให้รสชาติของอาหารจานนั้น ๆ กลมกล่อมขึ้น ถ้าเราลองไม่ใช้น้ำตาลให้การปรุงอาหาร ก็อาจจะไม่เกิดรสชาติที่สมบูรณ์เท่าที่ควรจะเป็น วันนี้เราขอเสนอเมนูที่เรียกได้ว่า ถ้าขาดน้ำตาลไปก็เหมือนขาดใจ และยิ่งถ้าได้เติมความกลมกล่อมด้วยน้ำตาลอ้อยธรรมชาติ ก็จะยิ่งเพิ่มสีสัน และความหอมจากอ้อยธรรมชาติ ชูความอร่อยให้ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นไปอีก สามชั้นต้มซีอิ๊ว พะโล้ไข่ยางมะตูม กะเพราหมูสับพริกแห้ง บัวลอยไข่หวานกะทิ (ขอเปลี่ยนเมนูเป็นกล้วยบวชชีหรือบัวลอยค่า) ขนมปังเนยน้ำตาล สามชั้นต้มซีอิ๊ว วัตถุดิบ 1. หมูสามชั้น 300 กรัม 2. น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล 3 ช้อนโต๊ะ 3. กระเทียม 3-5 กลีบ 4. รากผักชี 2 ราก 5. พริกไทย 10 กรัม 6. ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา 7. ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ 8. คะน้า …

อ่านบทความ

เพิ่มเสน่ห์ให้ทุกเมนูอีกขั้นด้วย น้ำตาล 6 ชนิด ที่คนครัวทุกคนควรรู้จัก

ถ้าพูดถึงเครื่องปรุงที่อยู่กับมนุษย์มาเนิ่นนาน นอกจากเกลือแล้วก็เห็นทีจะเป็น “น้ำตาล” นี่แหละค่ะ ที่ไม่ว่าจะทำอาหารประเภทไหน ๆ ทั้งคาวหวานหรือเครื่องดื่ม เมื่อได้ใส่น้ำตาลลงไปในอาหารก็จะเพิ่มความกลมกล่อมน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น เราอาจจะคุ้นชินกับเจ้าน้ำตาลสีขาวเม็ดละเอียดที่เห็นได้บ่อย ๆ บนโต๊ะอาหาร แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วน้ำตาลมีอยู่มากมายหลายชนิดและแต่ละชนิดก็ให้ความหวานที่เหมาะกับอาหารประเภทต่างๆแตกต่างกันไป เชื่อว่าบางเรื่องเพื่อน ๆ ก็อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนแน่ ๆ แต่บทความนี้จะทำให้เพื่อน ๆ ได้สาระแบบเน้น ๆ เพราะเราจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับน้ำตาล 6 ชนิด อ่านจบกูรูเรื่องน้ำตาลเลยล่ะค่า! The art of Sugarlogy “เพิ่มเสน่ห์ความอร่อยให้ทุกจานด้วยการใช้น้ำตาลให้ถูกชนิด” #เติมเสน่ห์ให้ทุกจานด้วยน้ำตาลจากมิตรผล  1. น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวคือน้ำตาลซูโครส (sucrose) เป็นน้ำตาล (sugar) ที่เรียกกันทั่วไปว่าน้ำตาลทราย ที่ใช้เป็นสารให้ความหวานอย่างกว้างขวางทั่วโลก พบอยู่ในพืชและผลไม้หลายชนิด แต่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตน้ำตาลทางการค้า คือ อ้อยและหัวบีท และน้ำตาลที่เราเห็นและเลือกใช้กันเป็นหลักก็คือน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์นั่นเอง น้ำตาลชนิดนี้มีลักษณะเป็นสีขาวมีความบริสุทธิ์สูง โดยทั่วไปนิยมนำไปบริโภคโดยตรงในการปรุงอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการความบริสุทธิ์สูง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมทางการแพทย์ เหมาะกับอาหาร: อาหารคาว, อาหารหวาน, เครื่องดื่ม, เบเกอรี 2. น้ำตาลอ้อยธรรมชาติ น้ำตาลเกล็ดสีธรรมชาติที่ผลิตจากอ้อยธรรมชาติ 100% ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และผลิตอย่างพิถีพิถันโดยใช้สารเคมีน้อยทีสุดจนได้น้ำตาลสีธรรมชาติของน้ำอ้อย น้ำตาลชนิดนี้จะให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอ้อย สีสันจากอ้อยธรรมชาติจะช่วยชูสีสันให้จานอาหารดูน่ากินมากขึ้น และให้รสชาติหวานอร่อยกลมกล่อมกำลังดี เหมาะสำหรับทุกเมนูคาวหวานที่ต้องการความอร่อยกลมกล่อมจากธรรมชาติ และต้องการชูสีสันของจานอาหาร เหมาะกับอาหาร: แกงไทย, น้ำจิ้ม, ขนมหวานไทย, ขนมปังสังขยา, ไส้ขนม, โรยหน้าขนมพัฟฟ์ หรือเพสทรีก่อนอบเพิ่มสีสันที่สวยงานน่ากิน 3. น้ำเชื่อม เป็นน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการแตกตัวของโมเลกุล ทำให้สามารอยู่ในรูปของของเหลว โดยไม่กลับมาตกผลึกอีกครั้งเหมาะแก่การนำไปประกอบอาหารที่มีของเหลวเป็นหลัก โดยไม่ต้องกังวลว่าน้ำตาลจะไม่ละลาย หรือจะกลับมาตกผลึกได้ใหม่ และยังให้ความหวานที่สม่ำเสมอ ช่วยชูความฉ่ำวาวให้อาหารดูน่ากิน ละที่สำคัญช่วยประหยัดเวลาอีกด้วย เหมาะกับอาหาร: น้ำจิ้มต่าง ๆ, ผักดอง, น้ำสลัด, กล้วยเชื่อม, มันเชื่อม, ทำบัตเตอร์ครีม, หน้าฟัดจ์, แยมท็อปปิง, น้ำปั่น 4. น้ำตาลทรายแดง ที่คนไทยจะรู้จักดีในชื่อน้ำตาลโอวทึ้ง หรือน้ำตาลที่เอาไว้ใส่เฉาก๊วย แต่จริง ๆ แล้วน้ำตาลชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับความหวานหอมของหลายเมนู ลักษณะเป็นผงคล้ายทรายละเอียด มีความชื้นสูงกว่าน้ำตาลทั่วไปทำให้บางครั้งจับตัวเป็นก้อนให้รสกับกลิ่นที่หอมหวานเป็นเอกลักษณ์และมีสีที่เข้มจากอ้อยอย่างชัดเจน ผลิตจากการต้มเคี่ยวน้ำเชื่อมอ้อยนำมาทำให้เป็นผงแล้วนำไปอบแห้ง และน้ำตาลชนิดนี้ไม่ได้ผ่านกระบวนทำให้บริสุทธิ์เท่าน้ำตาลทรายขาวจึงมีรสที่หวานน้อยกว่าน้ำตาลทรายขาว แต่ให้กลิ่นหอมหวานและสีจากอ้อยที่โดดเด่น จึงมักนำไปทำเมนูที่ต้องการสีสันและความหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับอาหาร: ซี่โครงหมูน้ำแดง, ขาหมู, บัวลอยน้ำขิง, บราวนี, ชานมไข่มุกบราวน์ชูการ์ …

อ่านบทความ

เผยเคล็ดลับความอร่อย “น้ำเชื่อม” จุดขายร้านกาแฟมืออาชีพ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคปัจจุบันนี้ยังคงเป็นยุคทองของการทำธุรกิจอาหารการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปิดธุรกิจ “ร้านคาเฟ่” ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องมีการปรับตัวไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ได้ยากเกินจะรับมือ ดังนั้นการแข่งขันที่แท้จริงจึงตกมาอยู่ที่เรื่องของ “รสชาติ” นอกจากเมล็ดกาแฟที่ต้องคัดสรรพันธุ์พิเศษให้เป็นเอกลักษณ์ของที่ร้านแล้ว เรื่องการรักษามาตรฐานให้คงที่สม่ำเสมอก็เป็นเรื่องสำคัญ เช่น การรักษามาตรฐานความหวาน จากน้ำเชื่อมที่ร้านกาแฟเลือกใช้ในการผสมเครื่องดื่ม ก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญจากอีกหลาย ๆ องค์ประกอบ ลองมาดูกันดีกว่า ว่าจะมีอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการมือใหม่ควรให้ความใส่ใจ เพื่อก้าวแรกที่มั่นคงในสนามแข่งขันธุรกิจร้านคาเฟ่ สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พร้อมกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสม องค์ประกอบแรกของการทำธุรกิจ ในที่นี้คือการเปิดร้านคาเฟ่ หรือแม้แต่ร้านกาแฟที่เน้นขายเพียงเมนูเครื่องดื่ม ก็ควรจะต้องเริ่มจากเรื่องพื้นฐานอย่างการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความชื่นชอบ เจาะข้อมูลเชิงลึกมาเพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนการขาย โดยยึดจากความเข้าใจลูกค้าเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนดังกล่าวแม้จะสำคัญในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจ แต่เมื่อเปิดร้านไปแล้วก็ยังคงต้องสำรวจกันอย่างต่อเนื่อง เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคต่างก็เปลี่ยนไปตามปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี การวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สดใหม่อยู่เสมอ จึงจะช่วยให้คุณสามารถเปิดร้านได้อย่างเข้าใจลูกค้า พร้อมมัดใจได้ตั้งแต่เริ่มต้น ปรับเมนูเครื่องดื่ม สร้างเอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของร้าน เมื่อค้นพบถึงความชอบจากการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภคกันไปแล้ว ขั้นตอนถัดมาที่จะช่วยให้คุณสามารถส่งมอบความอร่อยได้อย่างตรงใจ พร้อมตอบสนองความชอบของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด จะต้องนำข้อมูลที่ได้เอามาวิเคราะห์เพื่อคิดค้นเมนูที่สามารถมัดใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างอยู่หมัด ไปพร้อม ๆ กับการสร้างเอกลักษณ์รสชาติที่แตกต่าง รวมถึงการเสริมเรื่องหน้าตาการตกแต่งเมนูให้โดดเด่น เพราะอย่าลืมว่านอกจากรสชาติถูกปาก อร่อยถูกใจ ความสวยงามก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในยุคของ Camera Eat First ที่จะทำให้ร้านได้รับความนิยม และถูกบอกต่อเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การคิดค้นสูตรใหม่เพื่อสร้าง Selling Point เฉพาะตัว เรื่องของสูตรก็เป็นอะไรที่ต้องให้ความใส่ใจอย่างพิถีพิถัน เมื่อการชงเครื่องดื่มเมนูที่อยู่นอกเหนือสูตรมาตรฐานรสชาติทั่วไป การควบคุมคุณภาพและรสชาติให้คงที่จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการเลือกวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน โดยพระเอกหลักที่ขึ้นตรงกับผลลัพธ์ด้านรสชาติคือ “เมล็ดกาแฟ” และ “น้ำเชื่อมสำหรับผสมเครื่องดื่ม” นั่นเอง แหล่งเมล็ดกาแฟ และเอกลักษณ์ความหอม องค์ประกอบถัดมาของการเปิดร้านกาแฟให้พร้อมมัดใจลูกค้าด้วยรสชาติ คือการคัดสรรเมล็ดกาแฟที่ตอบโจทย์ทั้งความชอบ และพฤติกรรมการดื่มกาแฟของลูกค้าที่ร้านของเรา ยิ่งในยุคทองของร้านคาเฟ่ที่การแข่งขันสูง การเลือกเมล็ดกาแฟอย่างพิถีพิถัน เลือกด้วยความเข้าใจ ยิ่งมีผลกับการสร้างยอดขายเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น เมล็ดกาแฟที่ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในไทย กล่าวคือเป็น “Safe Zone” ของการเปิดร้านคาเฟ่ คงจะขาดกาแฟโรบัสต้าและกาแฟอาราบิก้าไปไม่ได้ ด้วยรสชาติที่คุ้นเคยกับต่อมรับรส ทั้งยังเข้าถึงง่าย ทำให้คุณสามารถรังสรรค์เมนูได้โดยไม่ต้องกลัวถึงความซับซ้อนของกลิ่นที่จะไปทำลายอรรถรสในการดื่มของลูกค้า  อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่คุณต้องการเพิ่มเมนูทางเลือก เจาะลึกลงไปในกลุ่มลูกค้านักดื่มกาแฟตัวยงด้วยเมล็ดกาแฟที่แตกต่าง การมองหาซัพพลายเออร์เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูง เพื่อค้นพบมิติใหม่ ๆ ในรสชาติ และนำไปต่อยอดเป็นเมนูที่ดึงเอาจุดเด่นของรสชาติกาแฟออกมาใช้แบบเต็มประสิทธิภาพก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีไม่น้อย อย่างไรก็ดี การทำเมนูที่ก้าวไปถึงขั้นของ Specialty Coffee ก็ควรจะมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของเมล็ดพันธุ์พิเศษ เพื่อที่จะได้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างที่ต้องการ คุณภาพวัตถุดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้ำเชื่อมที่ใช้ผสมเครื่องดื่ม! ยังคงสอดคล้องกับเทคนิคก้าวแรกในการเปิดร้านด้วยการวิเคราะห์กระแสที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค สิ่งหนึ่งที่จะค้นพบคือพฤติกรรมการดื่มกาแฟและเครื่องดื่มที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และผู้บริโภรคชอบที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการเลือกรังสรรค์รสชาติตามใจตัวเอง มากกว่าการดื่มตามสูตรที่อาจจะไม่ถูกปาก ถูกลิ้นเหมือนที่เคย นั่นจึงแปลว่าการทำร้านคาเฟ่ในยุคทองเช่นนี้ แทนที่จะใช้ขั้นตอนการทำเครื่องดื่มแบบดั้งเดิมที่ให้บาริสต้ายึดตามสูตรเพื่อรักษามาตรฐานให้คงที่ ก็หันมาเพิ่มความหลากหลายของสูตร เพื่อรองรับรสชาติที่แตกต่างในแต่ละเมนู เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นส่วนหนึ่งในการปรับแต่งความหวาน ในส่วนนี้น้ำเชื่อมผสมเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟเลือกใช้จึงต้องมีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถควบคุมรสชาติได้อย่างคงที่ ไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น  น้ำเชื่อมละลายเร็ว …

อ่านบทความ

แจกไอเดียเมนูสร้างรายได้จากโกลเด้น ไซรัป เอาไปทำอะไรได้บ้าง?

ผลิตภัณฑ์น้ำเชื่อมสำเร็จรูปให้ระดับความหวานแบบคงที่ ต้องโกลเด้น ไซรัป ตรามิตรผล พร้อมเผยเมนูเด็ดสร้างรายได้ ทำง่าย อร่อยมาก!

อ่านบทความ

เจาะลึกน้ำตาลเบเกอรี ใช้ถูก ขนมอร่อย ร้านขายดี

เจาะลึกน้ำตาลเบเกอรี ใช้ถูก ขนมอร่อย ร้านขายดี หลายคนคงอาจจะเคยเจอความผิดพลาดในการทำเบเกอรี ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำ อุณหภูมิการอบ หรือการเลือกใช้วัตถุดิบอย่าง “น้ำตาล” ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เบเกอรีไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัส   การเลือกใช้น้ำตาลให้เหมาะสมกับแต่ละเมนูจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีส่วนช่วยเรื่องความคงตัวและขึ้นฟู เก็บความชุ่มชื้น ชูรสชาติ และทำให้สีสันสวยงามน่ารับประทาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการมัดใจลูกค้าด้วยคุณภาพและรสชาติที่โดดเด่น น้ำตาลเบเกอรีมีความสำคัญอย่างไร น้ำตาลที่ใช้ในเบเกอรีมีหลายชนิดและมีความแตกต่างกัน ให้รสชาติและเนื้อสัมผัสไม่เหมือนกัน โดยน้ำตาลสำหรับทำเบเกอรีจะมีความเนียนละเอียดมากกว่าน้ำตาลทรายทั่วไป เพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องการละลายช้าในขนม, การขึ้นฟูไม่เต็มที่ หรือเนื้อขนมไม่เนียน อบแล้วเกิดรอยร้าว ซึ่งหากเลือกใช้น้ำตาลที่ถูกประเภทก็จะสามารถช่วยลดปัญหาในการทำเบเกอรีได้ วันนี้เรามาทำความรู้จักคุณสมบัติของน้ำตาลเบเกอรีทั้ง 3 ประเภทกันค่ะ 1. น้ำตาลเบเกอรี (Caster Sugar) น้ำตาลเบเกอรี คือน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ที่ผ่านกระบวนการทำให้มีขนาดเล็กลง เป็นเกล็ดละเอียด จึงสามารถผสมเข้ากับส่วนผสมอื่น ๆ ได้ง่าย ช่วยลดระยะเวลาในการตีส่วนผสม ทำให้เนื้อขนมเนียนนุ่ม เนื้อเค้กขึ้นฟูเร็วขึ้น รี่ซึ่งมีส่วนช่วยแก้ปัญหาในการทำเบเกอรี ดังนี้   ปัญหาเนื้อชิฟฟ่อนเกิดจุดสีน้ำตาล เกิดจากการที่น้ำตาลทรายปกติผสมกับแป้งไม่ดีพอ การใช้น้ำตาลเบเกอรีจะลดขั้นตอนในการผสม โดยที่ไม่ต้องเอาน้ำตาลไปปั่นก่อน ปัญหาทำเมอแรงก์สำหรับผสมในเนื้อเค้ก หากการตีน้ำตาลที่เกล็ดใหญ่เกินไป จะทำให้ใช้เวลาในการตีกับไข่ขาวนาน ซึ่งมีผลทำให้เค้กแข็งและเป็นรูภายในได้ ปัญหาเค้กไม่เนียน แข็งหรือแห้งเกินไป หากใช้น้ำตาลเบเกอรีจะช่วยให้ตัวแป้งขึ้นฟูได้เร็วขึ้น 2. น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรี (Brown Sugar for Bakery) น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรี คือน้ำตาลทรายแดงที่ผ่านกระบวนการร่อนจนได้เนื้อสัมผัสเนียนละเอียด สะดวก พร้อมใช้งาน หมดปัญหาการจับตัวกันเป็นก้อน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่กลิ่นหอมจากอ้อยธรรมชาติ ให้รสชาติหวานละมุน ช่วยให้เบเกอรีมีสีน้ำตาลสวยน่ารับประทาน นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยแก้ปัญหาในการทำเบเกอรี ดังนี้  ปัญหาเมนูบราวนี่ที่มีรสชาติหวานแหลมจนเกินไป เพราะต้องใช้ปริมาณน้ำตาลเยอะเพื่อความชุ่มฉ่ำและการขึ้นฟิล์ม หากใช้น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรีจะช่วยคงความชุ่มฉ่ำและช่วยให้รสชาติหวานละมุนกำลังดี ปัญหาเมนูทาร์ตที่เนื้อไม่กรอบร่วน น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรีจะช่วยให้ตัวแป้งกรอบร่วนตามที่ควรจะเป็น ปัญหาการอบคุกกี้ให้ได้สีน้ำตาลสวย แต่ไม่เป็นแบบที่ตั้งใจจากการเลือกใช้น้ำตาลผิดประเภท ทำให้ใช้เวลาในการอบนานเกินไปและกลายเป็นคุกกี้ไหม้ น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรีจะช่วยเรื่องสีและกลิ่นของคุกกี้ 3. น้ำตาลไอซิ่ง (Icing Sugar) น้ำตาลไอซิ่ง คือน้ำตาลทรายขาวที่ทำการบดหรือปั่นอย่างละเอียด ผสมกับแป้งมันสำปะหลัง เพื่อป้องกันการจับตัวเป็นก้อน ในอดีตนิยมนำมาใช้ในการโรยตกแต่งหน้าเบเกอรี เช่น เค้ก, ขนมปัง, และโดนัท แต่ปัจจุบันน้ำตาลไอซิ่งเริ่มมีบทบาทในการทำเบเกอรีมากขึ้น สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในครีมหรือวิปปิ้งครีมสำหรับแต่งหน้าเค้ก เพื่อให้ครีมตั้งรูป มีความคงตัวมากขึ้น หรือผสมในเนื้อคุกกี้หรือทาร์ต เพื่อช่วยเพิ่มความกรอบยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยแก้ปัญหาในการทำเบเกอรี ดังนี้  ปัญหาการอบมาการองที่ขึ้นทรงได้ไม่ดี หากใช้น้ำตาลไอซิ่ง จะช่วยตั้งทรงให้ขามาการองขึ้นรูปได้ดีขึ้น ปัญหาการละลายช็อกโกแลตสำหรับตกแต่งหน้าเค้ก บางครั้งจะออกมาเหลวจนเกินไป การใช้น้ำตาลไอซิ่งเข้าไปผสมด้วยจะทำให้ตัวซอสช็อกโกแลตจับตัวอยู่บนหน้าเค้กได้ดีขึ้น เป็นยังไงกันบ้างสำหรับข้อมูลที่เอามาฝากกัน หวังว่าจะช่วยให้หลายท่าน ได้ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับน้ำตาลเบเกอรีมากขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้ให้ถูกได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำทานเองในครัวเรือนหรือทำขายสำหรับกิจการของคุณได้อย่างไร้ปัญหาค่ะ

อ่านบทความ

ไขข้อข้องใจ น้ำเชื่อมสูตรดั้งเดิม VS น้ำเชื่อมสูตรละลายเร็ว ดีต่างกันอย่างไร?

ไขข้อข้องใจ น้ำเชื่อมสูตรดั้งเดิม VS น้ำเชื่อมสูตรละลายเร็ว ดีต่างกันอย่างไร? หนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำเครื่องดื่มและเบเกอรี่ ให้ได้รสชาติหวานคงที่และมีคุณภาพมาตรฐาน นั่นคือ น้ำเชื่อม เพราะเป็นตัวผสานความอร่อยของส่วนผสมต่างๆ ให้หวานกลมกล่อม ได้รสชาติที่ลงตัว แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเลือกน้ำเชื่อมที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ดังนั้นการเลือกใช้น้ำเชื่อมให้ถูกประเภทจึงเป็นสิ่งสำคัญ หลายคนอาจสงสัยว่า น้ำเชื่อมเข้มข้น สูตรดั้งเดิม แตกต่างจากน้ำเชื่อม สูตรละลายเร็วอย่างไร เรามาทำความรู้จักเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย 1. คุณสมบัติทั่วไปที่เหมือนกันของน้ำเชื่อมเข้มข้น สูตรดั้งเดิม และน้ำเชื่อม สูตรละลายเร็ว มีดังนี้ ให้ความหวานคงที่ สม่ำเสมอ ใช้ง่าย สะดวก ประหยัดเวลาในการเตรียมน้ำเชื่อม ไม่ตกผลึก หรือกลับมาเป็นเกล็ดน้ำตาลอีก จัดเก็บง่าย และเก็บได้นาน 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น 2.คุณสมบัติทื่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้งาน มีดังนี้ 3. คุณสมบัติของความคุ้มค่าในการใช้น้ำเชื่อมสำเร็จรูปทั้ง 2 ชนิด มีดังนี้ คุ้มค่าเรื่องต้นทุน เพราะน้ำเชื่อมสำเร็จรูป ตรามิตรผล ให้ความควานคงที่ มีคุณภาพ และช่วยลดต้นทุนได้ เช่น ไม่เปลืองค่าแก๊ส ค่าไฟ หากใช้ไม่หมดก็สามารถเก็บไว้ใช้งานต่อได้โดยไม่เสีย คุ้มค่าเรื่องเวลา น้ำเชื่อมสำเร็จรูป ตรามิตรผล ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้งานได้สะดวกสบาย สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเคี่ยว สามารถใช้เวลาไปกับการบริหารจัดการงานส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้น ไม่ว่าผู้ประกอบการจะเลือกใช้น้ำเชื่อมสำเร็จรูป ตรามิตรผล ประเภทไหน ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างดี เพราะผลิตภัณฑ์ได้ถูกคิดค้นสูตรมาเพื่อผู้ประกอบการ และการใช้งานจริง เพื่อให้ได้เมนูที่อร่อย รสชาติคงที่ มีคุณภาพ และได้มาตรฐานอย่างแน่นอน

อ่านบทความ

3 สุดยอดเคล็ดลับ การใช้น้ำเชื่อมทำเบเกอรี่ จาก เชฟเลอ กอร์ดอง เบลอ

3 สุดยอดเคล็ดลับ การใช้น้ำเชื่อมทำเบเกอรี่ จาก เชฟเลอ กอร์ดอง เบลอ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้หลายคนหันมาทำเบเกอรี่เป็นอาชีพหลัก และด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ทำให้ต้องมองหาเคล็ดลับที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อให้ได้เบเกอรี่อร่อย ได้มาตรฐาน แต่จะดีแค่ไหน หากเรารู้เคล็ดลับจากเชฟดังที่จะช่วยต่อยอดเบเกอรี่ให้เก่งขึ้น วันนี้เรามีเคล็ดลับจาก 3 เชฟเบเกอรี่ชื่อดังมาฝาก เชฟพฤกษ์ – พฤกษ์ สัมพันธวรบุตร เชฟท่านแรก เชฟพฤกษ์ – พฤกษ์ สัมพันธวรบุตร ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาจากการคว้าแชมป์ ‘เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย’ และเป็นศิษย์เก่า สถาบัน le cordon bleu Paris , ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของร้าน RawMat ร้านที่นำเสนออาหารในแบบ Chef’s Table มีความละเอียดอ่อนตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบจนกระทั่งรังสรรค์ออกมาเป็นเมนูพร้อมเสิร์ฟ เชฟพฤกษ์ได้แนะนำเมนู Deconstructed Apple Tart เป็นเมนูที่นำมาเสนอในรูปแบบใหม่ ด้วยการทำแป้งพายออกมาในรูปแบบของ Crumble ส่วนชิ้นแอปเปิ้ลนำไปแช่ใน Syrup โดยซอสที่ได้จากแอปเปิ้ล ถูกทำออกมาในรูปแบบมูสโฟม (Mouse Foam) เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่แตกต่าง เคล็ดลับสำคัญที่เชฟพฤกษ์นำน้ำเชื่อมมิตรผลมาใช้ในการทำขนม คือน้ำเชื่อมมิตรผลช่วยให้เบเกอรี่ มีสีสวย ขึ้นเงา และ ช่วยให้เนื้อสัมผัส หรือ Texture ของเบเกอรี่ได้คุณภาพ  นอกจากนี้เชฟได้แนะนำการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยนำไปพัฒนาต่อ และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และสำหรับเชฟรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จแบบเชฟพฤกษ์ อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง ต้องเรียนรู้ และฝึกฝนตลอดเวลา เชฟออย – วัชราพรรณ วณิชย์คูพลังกูร เชฟท่านที่สอง เชฟออย – วัชราพรรณ วณิชย์คูพลังกูร  ศิษย์เก่าจากสถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิตธานี คว้าอันดับ 1 หลักสูตร Diplôme de Pâtisserie และเป็นเจ้าของร้าน Three Bears Pastry ผู้ที่มีจุดเริ่มต้นจากความหลงใหลและมีใจรักในการทำเบเกอรี่ เชฟออยได้แนะนำเมนูเด็ดอย่าง Chocolate Espresso Flourless Cake พร้อมเคล็ดลับง่ายๆ มาฝาก เชฟเลือกใช้น้ำเชื่อมมิตรผลในการทำเมนู Chocolate Espresso Flourless Cake เพราะช่วยให้หน้าขนมเรียบเนียน มีเสน่ห์ น่ารับประทานมากขึ้น นอกจากนี้น้ำเชื่อมยังสามารถนำไปเคลือบหน้าชิ้นผลไม้ ทำให้ผลไม้มีความเงางามและอยู่ได้นานขึ้น สำหรับใครที่มีความฝันอยากเป็นเชฟ และประสบความสำเร็จในการทำเบเกอรี่ เชฟออยมีคำแนะนำง่ายๆ คือ อยากให้สร้างสรรค์ พลิกแพลง และไม่อยู่ในกรอบหรือสูตรที่เคยทำมา …

อ่านบทความ

แบ่งปันสูตร 5 เมนูอาหารง่าย ๆ สำหรับคนที่อยากทำขายออนไลน์ ทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน เพียงแค่มีวัสดุคุณภาพก็สามารถขายได้ สนใจคลิกอ่านเลย

ทริกลับสูตรเบเกอรีโฮมเมด! เลเยอร์เค้กปราบเซียนที่ใครก็ทำได้ เผยเคล็ดลับสุดโปรที่นักทำขนมมืออาชีพใช้! ตัวช่วยเปลี่ยนเมนู “เลเยอร์เค้กปราบเซียน” ให้กลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด พร้อมยกระดับรสชาติสูตรเบเกอรีโฮมเมดแบบธรรมดา ให้อร่อยได้เหมือนมีมืออาชีพมาทำให้กินเองถึงบ้าน ใครพร้อมลงครัว ก้าวข้ามความท้าทายของเมนูปราบเซียนนี้แล้ว ห้ามพลาดเทคนิคไม่ลับ ที่จะมาเฉลยพ้อยท์ลับของเนื้อเค้กนุ่ม ชุ่มฉ่ำ พร้อมประกอบร่างได้ง่าย ราวกับจัดวาง! 4 จุดพลาดที่ทำให้เลเยอร์เค้ก “พัง” ก่อนจะไปดูเทคนิคการทำเลเยอร์เค้กให้ถอดแบบได้ตามสูตรเบเกอรีโฮมเมดนั้น ต้องทำความเข้าใจจุดผิดพลาดที่เป็นสาเหตุความ “พัง” ของชั้นเค้กให้เข้าใจเสียก่อน จะได้รับมือถูกว่าส่วนไหนที่ต้องระวัง พร้อมฝึกปรือฝีมือไปกับขั้นตอนการทำเลเยอร์เค้กที่สมบูรณ์แบบ จุดพลาดที่ 1 : วางชั้นเค้กไม่สม่ำเสมอ ชั้นเค้กที่ดูไม่สม่ำเสมออาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นไม่ความชำนาญในการวางชั้นเค้ก, ความไม่สมบูรณ์ของรูปทรงที่เกิดจากปัญหาเนื้อเค้กยุบ ตลอดจนปัญหาเนื้อเค้กแห้งกระด้าง และการถอดพิมพ์เค้ก ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้การประกอบร่างเลเยอร์เค้กมักไม่สมดุล จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการโค่นล้มสูง อย่างไรก็ตาม จุดผิดพลาดดังกล่าวก็มีวิธีแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ไม้ปลายทู่ดามเนื้อเค้ก ซึ่งทริกนี้ก็ปรากฏอยู่ในสูตรเบเกอรีโฮมเมดมากมายในปัจจุบัน แถมยังเป็นการแก้ปัญหาเบื้องต้นที่ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่สามารถครอบคลุมไปยังต้นเหตุของความผิดพลาดได้อย่างแท้จริง จุดพลาดที่ 2 : ตัดชั้นเค้กในขณะที่ยังอุ่น หลายครั้งที่ความผิดพลาดของเชฟขนมหวานมือใหม่มักเกิดมาจาก “ความใจร้อน” รีบเร่งที่จะไปสู่ขั้นตอนถัด ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเมนูเค้กที่ต้องอาศัยความใจเย็น ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก อาทิ อุณหภูมิหลังอบที่สำคัญต่อเนื้อเค้ก หากเร่งหั่นเพื่อแบ่งชั้นโดยทันที ในขณะที่ยังมีความอุ่น สิ่งที่จะตามมาคือ การแตกและรุ่ยของเนื้อเค้ก ซึ่งจะส่งผลต่อการประกอบเลเยอร์อย่างแน่นอน ดังนั้น เพื่อที่จะลดโอกาสในการเกิดข้อผิดพลาดนี้ เพียงแค่ถอดวิธีทำตามขั้นตอนในสูตรเบเกอรีโฮมเมดแบบเป๊ะ ๆ ทุกตัวอักษร โดยห้าม “ละเลย” แม้แต่ขั้นตอนเดียว ขั้นตอนไหนที่จำเป็นต้องรอก็ควรรอ ขั้นตอนไหนสามารถดำเนินการต่อก็ลุยได้เลยทันที เพียงเท่านี้ก็จัดการปัญหาเนื้อเค้กแตกรุ่ยจากอุณหภูมิและการผสมที่ผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย จุดพลาดที่ 3 : ชั้นครีมไม่เกาะตัวเค้ก รู้ไหมว่าฟรอสติ้งครีม หรือเนื้อครีมเคลือบขนมเค้กที่มีทั้งแบบวิปครีม บัตเตอร์ ครีมชีส และช็อกโกแลตกานาซ ซึ่งนอกจากให้ความอร่อยแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเชื่อมยึดระหว่างชั้นเค้กให้เกิดการบาลานซ์ที่สมดุล จึงไม่แปลกที่ข้อผิดพลาดหลาย ๆ ครั้ง มักจะเกิดจากการไม่เกาะตัวของเนื้อครีม จนทำให้เค้กโค่นหรือล้มลงมาได้ ซึ่งการที่ครีมฟรอสติ้งไม่สามารถเกาะเนื้อเค้กได้นั้น เกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากชั้นเค้กที่ไปทำให้เนื้อครีมนิ่มและเหลวตัวลง ตลอดจนความแห้งและกระด้างของเนื้อเค้กที่เกิดจากความผิดพลาดของส่วนผสมในสูตรเบเกอรีโฮมเมดที่เลือกใช้ ตลอดจนเวลาในการอบที่นานเกินไป ซึ่งก็สามารถแก้ได้ง่าย ๆ ด้วยการพรมน้ำเชื่อมเพิ่มความชุ่มชื้นแทน จุดพลาดที่ 4 : ไม่รู้เทคนิคการปาดครีมเค้ก ในส่วนนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ข้อผิดพลาดทางเทคนิคที่เกี่ยวกับการปาดครีมเค้ก ได้แก่ ครีมชั้นใน และครีมชั้นนอก ซึ่งทั้งสองส่วนต่างก็มีความสำคัญในการพยุงเลเยอร์เค้กด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่มีวิธีบอกเทคนิคการทำแบบลงลึกในสูตรเบเกอรีทั่ว ๆ ไป เนื่องจากเป็นเรื่องของเทคนิคที่ต้องใช้เวลาในการฝึกปรือ เทคนิคการปาดครีมชั้นใน : สำหรับสูตรเบเกอรีโฮมเมดที่เน้นรสชาติเค้กไปทางความบางเบา ความสดชื่นจากแยมหรือเนื้อผลไม้ เนื้อครีมชั้นในควรปาดและสร้างเอาไว้เพื่อใส่ไส้ใน แทนการปาดแยมลงไปทับหรือวางเนื้อผลไม้ทันที เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่สมดุล จนทำให้เค้กล้มได้ …

หลายครั้งที่อบขนมตามสูตรเบเกอรี่โฮมเมดแล้วผลลัพธ์ไม่ได้ดั่งใจ ทั้ง ๆ ที่ใช้ส่วนผสมตามสูตร ลองทางเลือกใหม่ด้วยน้ำเชื่อม Invert Sugar ทางลัดสูตรอร่อย

5 เทคนิคเปิดร้านชาไข่มุก พิชิตยอดขาย ไม่ต้องพึ่งแฟรนไชส์ ต้องยอมรับว่าชาไข่มุกคือเครื่องดื่มยอดนิยมของวัยรุ่นและวัยทำงาน จึงไม่น่าแปลกใจที่การเปิดร้านชาไข่มุกจะเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน แต่การซื้อแฟรนไชส์ร้านชาไข่มุกต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ดังนั้นการเปิดร้านชานมไข่มุกด้วยตัวเองคงเป็นทางออกที่ดี ถึงแม้จะใช้เวลาเตรียมการมากกว่าการซื้อแฟรนไชส์สักหน่อย แต่การเปิดร้านชานมไข่มุกแบบไม่ง้อแฟรนไชส์ จะทำให้คุณสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ว่าการออกแบบโลโก้ รูปแบบร้าน รวมไปถึงการรังสรรค์เมนู ก็สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองได้อย่างเต็มที่  รวมถึงสามารถเลือกวัตถุดิบได้เอง ไม่จำเป็นต้องใช้แต่วัตถุดิบที่ถูกกำหนดมาจากทางแฟรนไชส์เท่านั้น บทความนี้มี 5 เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณสามารถเปิดร้านชานมไข่มุกให้ขายได้โดยไม่พึ่งแฟรนไชส์มาบอกกัน 5 เทคนิคเปิดร้านชาไข่มุก สร้างแบรนด์ด้วยตนเอง 1. วางแผนการลงทุนให้ดี คำนวณต้นทุนอย่างถี่ถ้วน ในการเริ่มต้นธุรกิจสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก การวางแผนการลงทุนให้ดี ต้องรู้ว่ามีเงินสำหรับเป็นค่าร้านเท่าไร เพื่อที่จะออกแบบร้านให้พอเหมาะกับเงินทุนที่มี แต่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซปต์ของร้านอย่างที่ตั้งใจสำหรับอุปกรณ์ภายในร้านและอุปกรณ์ในการชงชา ควรเลือกซื้อของมีคุณภาพแต่ราคาไม่แพง และหาได้ทั่วไปตามท้องตลาด เพื่อในอนาคตต้องซื้อเพิ่ม เปลี่ยนใหม่ หรือซ่อมแซมจะได้ไม่ยุ่งยากนอกจากนี้ ยังมีค่าวัตถุดิบ อีกหนึ่งต้นทุนสำคัญที่ต้องคำนวณอย่างระมัดระวังมากที่สุด โดยต้องดูว่าค่าวัตถุดิบที่ต้องซื้อในแต่ละครั้งเป็นเท่าไร ในการซื้อวัตถุดิบหนึ่งครั้งสามารถชงชาไข่มุกได้กี่แก้ว และต้องคำนึงถึงการสต็อกวัถุดิบด้วย เพื่อป้องกันการซื้อวัตถุดิบมาเยอะเกินความจำเป็น แล้วสุดท้ายหมดอายุ กลายเป็นของเสียและต้องทิ้งไปในที่สุด จนกลายเป็นเงินทุนที่จมลงไปอย่างเปล่าประโยชน์  2. เลือกทำเลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้ง เพื่อเปิดร้านชาไข่มุก สิ่งแรกที่คุณต้องรู้ คือ กลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นใคร เพราะทำเลที่ตั้งที่จะเลือกนั้น ควรอยู่ใกล้กลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น– กลุ่มเป้าหมายเป็นคนวัยทำงาน ก็ควรเลือกที่ตั้งร้านในย่านที่มีตึกออฟฟิศให้เช่า หรือย่านธุรกิจที่ตั้งของสำนักงานต่าง ๆ– กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น ก็ควรเลือกตั้งร้านใกล้กับโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือแหล่งที่วัยรุ่นมักไปแฮงก์เอาต์กัน–  กลุ่มเป้าหมายเป็นครอบครัว ก็ควรเลือกตั้งร้านในหรือใกล้หมู่บ้าน ใกล้ตลาด หรือในแหล่งชุมชนเหตุผลที่ต้องเลือกทำเลที่ตั้ง เพื่อเปิดร้านชาไข่มุกตามกลุ่มเป้าหมายหลักก็เพราะว่าตอนที่คุณเปิดร้าน กลุ่มเป้าหมายของคุณก็จะเป็นคนแรก ๆ ที่มาลองชิมเครื่องดื่มของคุณ ถ้ารสชาติของเครื่องดื่มอร่อยถูกใจและถูกปากลูกค้าก็จะทำให้เกิดการบอกต่อ และฐานลูกค้าก็จะขยายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น 3. รสชาติคือหัวใจ เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ สำหรับการเปิดร้านขายอาหารหรือเครื่องดื่มนั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าหัวใจสำคัญคือเรื่องรสชาติ เพราะถึงคุณมีหน้าร้านสวย ราคาถูก แต่รสชาติไม่ดี ก็เป็นไปได้ยากที่จะเปิดร้านได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเปิดร้านชาไข่มุก ที่มีจำนวนคู่แข่งค่อนข้างมาก สิ่งที่จะทำให้คุณเอาชนะคู่แข่งได้นั่นก็คือ รสชาติที่ดี และการสร้างสรรค์เมนูที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นนั่นเองการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาไข่มุกของร้านมีรสชาติที่โดดเด่นแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นผงชา เม็ดไข่มุก ควรเลือกยี่ห้อที่ได้รับความนิยม หรือเป็นที่ยอมรับ และที่สำคัญในการชงชา ควรเลือกใช้น้ำเชื่อมแทนน้ำตาล  เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม และระดับความหวานที่คงที่ ซึ่งเราขอแนะนำน้ำเชื่อมมิตรผล 2 สูตร ให้คุณได้เลือกตามความเหมาะสม ซึ่งแต่ละสูตรต่างสร้างรสสัมผัสให้ชาที่แตกต่างกันออกไป– น้ำเชื่อมเข้มข้น สูตรดั้งเดิม มีสีใส ช่วยทำให้เนื้อสัมผัสทุกเมนูเนียนนุ่ม จึงเป็นที่นิยมสำหรับการนำไปทำเมนูเครื่องดื่ม มีระดับความหวานคงที่ และสามารถเก็บรักษาได้นานกว่าน้ำเชื่อมแบบปกติ–  น้ำเชื่อมโกลเด้น ไซรัป เกิดจากน้ำเชื่อมมิตรผลสูตรดั้งเดิมมาผสมกับน้ำเชื่อมจากอ้อยธรรมชาติ ทำให้มีสีทองช่วยเพิ่มสีสันให้เมนูเครื่องดื่มได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังมีกลิ่นหอมและรสชาติจากอ้อยธรรมชาติ และสามารถเก็บรักษาได้นานกว่าน้ำเชื่อมแบบปกติอีกด้วย 4. สร้างจุดขาย สร้างแบรนด์ให้สุดปัง อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่าร้านชาไข่มุกเป็นที่นิยมของทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน …

แจกสูตรน้ำยำเงินล้าน แกะรอยความอร่อยร้านดังพร้อมโกยกำไร อร่อยเด็ดเจ็ดย่านน้ำ แถมสร้างรายได้แบบไม่พัก! นิยามนี้ต้องมอบให้แก่ “เมนูสารพัดยำ” ที่กอบโกยกำไรจากกลุ่มลูกค้าสายอาหารรสแซ่บ ด้วยความนัวของรสชาติที่กลมกล่อม จึงไม่แปลกที่เมนูยำกลายเป็นกระแสฮิตติดลมบน วันนี้มิตรผลเลยอดใจไม่ไหว ต้องขอหยิบสูตรน้ำยำเงินล้านมาบอกต่อ จะทำกินเองที่บ้านก็ดี จะทำขายก็ปังแน่นอน “น้ำตาลเคี่ยว” เคล็ดลับความอร่อยของทุกสูตรน้ำยำ ภายใต้ความอร่อยสูตรเด็ดของน้ำยำพื้นฐาน รู้ไหมว่ารสชาติกลมกล่อมนั้นมาจาก “น้ำตาลเคี่ยว” ที่ปรุงรสหวานเค็มได้อย่างสมดุล โดยทั่วไปจะใช้น้ำตาลโตนด แต่สูตรนี้จะใช้น้ำเชื่อมเข้มข้น ตรามิตรผล ตัวช่วยลดระยะเวลาการเคี่ยว พร้อมปรุงรสได้อย่างกลมกล่อม หวานแบบคงที่  ด้วยสัดส่วนมาตรฐานที่สามารถวัดตวงได้จากการตักผสมนั่นเอง ส่วนผสม: น้ำตาลเคี่ยว น้ำเชื่อมเข้มข้น ตรามิตรผล 300 กรัม น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ น้ำกระเทียมดอง 50 มิลลิลิตร น้ำปลา 5 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ: น้ำตาลเคี่ยว เทน้ำเชื่อมเข้มข้น ตรามิตรผล ลงไปในหม้อ ตามด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำกระเทียมดอง และน้ำปลา เปิดเตาใช้ไฟกลางค่อนอ่อน ปล่อยให้ส่วนผสมเริ่มละลายเข้ากันดี ต้มไปเรื่อย ๆ จนเริ่มเดือด ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน หมั่นคนเรื่อย ๆ เคี่ยวต่อไป 45 นาที รอจนกลิ่นมะขามเปียกจางลง ปิดเตา รอจนเย็นสนิท ก่อนจะเก็บในภาชนะที่มิดชิด ใช้ได้นาน 3 สูตรน้ำยำพื้นฐาน : แกะรอยความอร่อยจากร้านดัง! ใครก็รู้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ติดทานอาหารรสจัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน กลมกล่อมแบบลงตัว ซึ่งอาหารประเภท “ยำ” ก็จัดได้ว่าเป็นเมนูที่มีครบทุกความอร่อยที่คนไทยมองหา แถมยังมีความหลากหลาย พลิกแพลงใส่วัตถุดิบได้ตามความต้องการได้อย่างลงตัว นี่คือเสน่ห์ของอาหารจานยำอย่างแท้จริง แต่กระแสฟีเวอร์ที่ทำให้คนหันมาทานยำกันทั่วไทยก็ไม่ได้มาจากความชอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สูตรน้ำยำที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของแต่ละร้านดังก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ตรึงใจให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำ แถมยังบอกต่อ และนี่คือ 3 สูตรน้ำยำพื้นฐานที่เราแกะรอยความอร่อยมาฝาก ทั้งยังปรับสูตรให้ง่ายขึ้นด้วยการใช้น้ำตาลเคี่ยวสูตรลัดจาก น้ำเชื่อมเข้มข้น ตรามิตรผล  สูตร 1 : น้ำยำใส น้ำยำที่คุ้นเคยด้วยรสชาติที่เข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน “เค็ม หวาน เปรี้ยว เผ็ด” ถือเป็นนิยามความอร่อยของสูตรน้ำยำแบบใสที่สามารถเข้ากันได้กับทุกวัตถุดิบ ส่วนผสม: น้ำยำใส (สำหรับ 1 ที่) พริกจินดาแดงซอย 8 เม็ด น้ำตาลเคี่ยว ½ ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ: น้ำยำใส …

1. ประวัติศาสตร์ “น้ำตาล” รู้หรือไม่ว่า “น้ำตาล” เครื่องปรุงให้รสหวานที่เป็นที่นิยมและขาดไม่ได้ในทุกครัวเรือนนั้น มีแหล่งกำเนิดที่ไกลจากประเทศไทย และชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก นั่นก็คือ หมู่เกาะปาปัวนิวกินี มาจากพืชชนิดหนึ่งนั่นก็คือ “ต้นอ้อย หรือ ต้นน้ำตาล” โดยชาวโพลีนีเซียนเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้จักรสหวานจากน้ำตาลอ้อยและเพาะปลูกต้นอ้อยเมื่อราวๆ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล จากนั้นต้นอ้อย ก็ได้แพร่กระจายผ่านหมู่เกาะโซโลมอนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไปจรดยังอินเดีย ซึ่งในช่วงแรกนั้นมนุษย์ได้ความหวานจากต้นอ้อยโดยการเคี้ยว ก่อนที่จะมีการค้นพบวิธีทำให้น้ำหวานของอ้อยตกผลึกเป็นน้ำตาลเกล็ด ซึ่งทำให้ง่ายต่อการขนส่งและการจัดเก็บมากยื่งขึ้น และคำว่า Sugar ที่เราคุ้นเคยกันนั้นก็ได้รากศัพท์มาจากคำว่า Sarkar ที่แปลว่าเกล็ด, เมล็ดเล็ก ๆ นั่นเอง และวันนี้เราขอพามารู้จักน้ำตาลอีก 1 ชนิดที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นจากเทรนด์การใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารที่มาจากธรรมชาติ ผ่านการปรุงแต่งน้อย นั่นก้คือน้ำตาลอ้อยธรรมชาตินั่นเอง มาดูกันว่าน้ำตาลอ้อยธรรมชาติมีกระบวนการผลิตที่คงความเป็นธรรมชาติอย่างไร 2. กระบวนผลิตน้ำตาล จากน้ำหวาน มาเป็น เกล็ดผลึก โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตน้ำตาลนั้นจะเริ่มจากการสกัดอ้อยสด จนได้ออกมาเป็นน้ำอ้อยเหมือนกัน ซึ่งกากอ้อยที่ผ่านการสกัดน้ำอ้อยออกแล้วจะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตน้ำตาลทรายอีกด้วย อย่างมิตรผล น้ำตาลอ้อยธรรมชาติ เมื่อผ่านกระบวนการสกัดจนได้น้ำอ้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการกรองจนได้น้ำอ้อยใสที่สะอาดไร้สิ่งเจือปน จากนั้นจะนำไปเข้ากระบวนการ ต้ม เคี่ยว ปั่น และอบแห้ง จนได้เป็นเป็นผลึกน้ำตาลที่คงความหอมหวาน คงสีสัน และยังคงคุณค่าจากอ้อยธรรมชาติไว้ 100% 3. แล้วน้ำตาลอ้อยธรรมชาติใช้ได้ในเมนูไหนบ้างล่ะ จริง ๆ แล้ว น้ำตาลอ้อยธรรมชาติให้ความหวานใกล้เคียงกับน้ำตาลทรายขาว แต่จะเพิ่มกลิ่นหอมและสีสันจากอ้อยธรรมชาติเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เรียกว่าใช้แทนกันได้หลากหลายเมนู และโดยปกติแล้วถ้าพูดถึงการใช้น้ำตาลนั้น คนเรามักจะนึกถึงเมนูที่เป็นขนมหวาน ไม่ก็จะเป็นเครื่องดื่มที่เย็นชื่นใจ แต่อาหารคาวนั้น คนเรามักจะหลงลืมการให้ความสำคัญของน้ำตาลที่ทำหน้าที่ช่วยทำให้รสชาติของอาหารจานนั้น ๆ กลมกล่อมขึ้น ถ้าเราลองไม่ใช้น้ำตาลให้การปรุงอาหาร ก็อาจจะไม่เกิดรสชาติที่สมบูรณ์เท่าที่ควรจะเป็น วันนี้เราขอเสนอเมนูที่เรียกได้ว่า ถ้าขาดน้ำตาลไปก็เหมือนขาดใจ และยิ่งถ้าได้เติมความกลมกล่อมด้วยน้ำตาลอ้อยธรรมชาติ ก็จะยิ่งเพิ่มสีสัน และความหอมจากอ้อยธรรมชาติ ชูความอร่อยให้ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นไปอีก สามชั้นต้มซีอิ๊ว พะโล้ไข่ยางมะตูม กะเพราหมูสับพริกแห้ง บัวลอยไข่หวานกะทิ (ขอเปลี่ยนเมนูเป็นกล้วยบวชชีหรือบัวลอยค่า) ขนมปังเนยน้ำตาล สามชั้นต้มซีอิ๊ว วัตถุดิบ 1. หมูสามชั้น 300 กรัม 2. น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล 3 ช้อนโต๊ะ 3. กระเทียม 3-5 กลีบ 4. รากผักชี 2 ราก 5. พริกไทย 10 กรัม 6. ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา 7. ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ 8. คะน้า …

ถ้าพูดถึงเครื่องปรุงที่อยู่กับมนุษย์มาเนิ่นนาน นอกจากเกลือแล้วก็เห็นทีจะเป็น “น้ำตาล” นี่แหละค่ะ ที่ไม่ว่าจะทำอาหารประเภทไหน ๆ ทั้งคาวหวานหรือเครื่องดื่ม เมื่อได้ใส่น้ำตาลลงไปในอาหารก็จะเพิ่มความกลมกล่อมน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น เราอาจจะคุ้นชินกับเจ้าน้ำตาลสีขาวเม็ดละเอียดที่เห็นได้บ่อย ๆ บนโต๊ะอาหาร แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วน้ำตาลมีอยู่มากมายหลายชนิดและแต่ละชนิดก็ให้ความหวานที่เหมาะกับอาหารประเภทต่างๆแตกต่างกันไป เชื่อว่าบางเรื่องเพื่อน ๆ ก็อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนแน่ ๆ แต่บทความนี้จะทำให้เพื่อน ๆ ได้สาระแบบเน้น ๆ เพราะเราจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับน้ำตาล 6 ชนิด อ่านจบกูรูเรื่องน้ำตาลเลยล่ะค่า! The art of Sugarlogy “เพิ่มเสน่ห์ความอร่อยให้ทุกจานด้วยการใช้น้ำตาลให้ถูกชนิด” #เติมเสน่ห์ให้ทุกจานด้วยน้ำตาลจากมิตรผล  1. น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวคือน้ำตาลซูโครส (sucrose) เป็นน้ำตาล (sugar) ที่เรียกกันทั่วไปว่าน้ำตาลทราย ที่ใช้เป็นสารให้ความหวานอย่างกว้างขวางทั่วโลก พบอยู่ในพืชและผลไม้หลายชนิด แต่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตน้ำตาลทางการค้า คือ อ้อยและหัวบีท และน้ำตาลที่เราเห็นและเลือกใช้กันเป็นหลักก็คือน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์นั่นเอง น้ำตาลชนิดนี้มีลักษณะเป็นสีขาวมีความบริสุทธิ์สูง โดยทั่วไปนิยมนำไปบริโภคโดยตรงในการปรุงอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการความบริสุทธิ์สูง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมทางการแพทย์ เหมาะกับอาหาร: อาหารคาว, อาหารหวาน, เครื่องดื่ม, เบเกอรี 2. น้ำตาลอ้อยธรรมชาติ น้ำตาลเกล็ดสีธรรมชาติที่ผลิตจากอ้อยธรรมชาติ 100% ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และผลิตอย่างพิถีพิถันโดยใช้สารเคมีน้อยทีสุดจนได้น้ำตาลสีธรรมชาติของน้ำอ้อย น้ำตาลชนิดนี้จะให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอ้อย สีสันจากอ้อยธรรมชาติจะช่วยชูสีสันให้จานอาหารดูน่ากินมากขึ้น และให้รสชาติหวานอร่อยกลมกล่อมกำลังดี เหมาะสำหรับทุกเมนูคาวหวานที่ต้องการความอร่อยกลมกล่อมจากธรรมชาติ และต้องการชูสีสันของจานอาหาร เหมาะกับอาหาร: แกงไทย, น้ำจิ้ม, ขนมหวานไทย, ขนมปังสังขยา, ไส้ขนม, โรยหน้าขนมพัฟฟ์ หรือเพสทรีก่อนอบเพิ่มสีสันที่สวยงานน่ากิน 3. น้ำเชื่อม เป็นน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการแตกตัวของโมเลกุล ทำให้สามารอยู่ในรูปของของเหลว โดยไม่กลับมาตกผลึกอีกครั้งเหมาะแก่การนำไปประกอบอาหารที่มีของเหลวเป็นหลัก โดยไม่ต้องกังวลว่าน้ำตาลจะไม่ละลาย หรือจะกลับมาตกผลึกได้ใหม่ และยังให้ความหวานที่สม่ำเสมอ ช่วยชูความฉ่ำวาวให้อาหารดูน่ากิน ละที่สำคัญช่วยประหยัดเวลาอีกด้วย เหมาะกับอาหาร: น้ำจิ้มต่าง ๆ, ผักดอง, น้ำสลัด, กล้วยเชื่อม, มันเชื่อม, ทำบัตเตอร์ครีม, หน้าฟัดจ์, แยมท็อปปิง, น้ำปั่น 4. น้ำตาลทรายแดง ที่คนไทยจะรู้จักดีในชื่อน้ำตาลโอวทึ้ง หรือน้ำตาลที่เอาไว้ใส่เฉาก๊วย แต่จริง ๆ แล้วน้ำตาลชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับความหวานหอมของหลายเมนู ลักษณะเป็นผงคล้ายทรายละเอียด มีความชื้นสูงกว่าน้ำตาลทั่วไปทำให้บางครั้งจับตัวเป็นก้อนให้รสกับกลิ่นที่หอมหวานเป็นเอกลักษณ์และมีสีที่เข้มจากอ้อยอย่างชัดเจน ผลิตจากการต้มเคี่ยวน้ำเชื่อมอ้อยนำมาทำให้เป็นผงแล้วนำไปอบแห้ง และน้ำตาลชนิดนี้ไม่ได้ผ่านกระบวนทำให้บริสุทธิ์เท่าน้ำตาลทรายขาวจึงมีรสที่หวานน้อยกว่าน้ำตาลทรายขาว แต่ให้กลิ่นหอมหวานและสีจากอ้อยที่โดดเด่น จึงมักนำไปทำเมนูที่ต้องการสีสันและความหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับอาหาร: ซี่โครงหมูน้ำแดง, ขาหมู, บัวลอยน้ำขิง, บราวนี, ชานมไข่มุกบราวน์ชูการ์ …

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคปัจจุบันนี้ยังคงเป็นยุคทองของการทำธุรกิจอาหารการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปิดธุรกิจ “ร้านคาเฟ่” ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องมีการปรับตัวไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ได้ยากเกินจะรับมือ ดังนั้นการแข่งขันที่แท้จริงจึงตกมาอยู่ที่เรื่องของ “รสชาติ” นอกจากเมล็ดกาแฟที่ต้องคัดสรรพันธุ์พิเศษให้เป็นเอกลักษณ์ของที่ร้านแล้ว เรื่องการรักษามาตรฐานให้คงที่สม่ำเสมอก็เป็นเรื่องสำคัญ เช่น การรักษามาตรฐานความหวาน จากน้ำเชื่อมที่ร้านกาแฟเลือกใช้ในการผสมเครื่องดื่ม ก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญจากอีกหลาย ๆ องค์ประกอบ ลองมาดูกันดีกว่า ว่าจะมีอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการมือใหม่ควรให้ความใส่ใจ เพื่อก้าวแรกที่มั่นคงในสนามแข่งขันธุรกิจร้านคาเฟ่ สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พร้อมกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสม องค์ประกอบแรกของการทำธุรกิจ ในที่นี้คือการเปิดร้านคาเฟ่ หรือแม้แต่ร้านกาแฟที่เน้นขายเพียงเมนูเครื่องดื่ม ก็ควรจะต้องเริ่มจากเรื่องพื้นฐานอย่างการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความชื่นชอบ เจาะข้อมูลเชิงลึกมาเพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนการขาย โดยยึดจากความเข้าใจลูกค้าเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนดังกล่าวแม้จะสำคัญในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจ แต่เมื่อเปิดร้านไปแล้วก็ยังคงต้องสำรวจกันอย่างต่อเนื่อง เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคต่างก็เปลี่ยนไปตามปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี การวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สดใหม่อยู่เสมอ จึงจะช่วยให้คุณสามารถเปิดร้านได้อย่างเข้าใจลูกค้า พร้อมมัดใจได้ตั้งแต่เริ่มต้น ปรับเมนูเครื่องดื่ม สร้างเอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของร้าน เมื่อค้นพบถึงความชอบจากการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภคกันไปแล้ว ขั้นตอนถัดมาที่จะช่วยให้คุณสามารถส่งมอบความอร่อยได้อย่างตรงใจ พร้อมตอบสนองความชอบของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด จะต้องนำข้อมูลที่ได้เอามาวิเคราะห์เพื่อคิดค้นเมนูที่สามารถมัดใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างอยู่หมัด ไปพร้อม ๆ กับการสร้างเอกลักษณ์รสชาติที่แตกต่าง รวมถึงการเสริมเรื่องหน้าตาการตกแต่งเมนูให้โดดเด่น เพราะอย่าลืมว่านอกจากรสชาติถูกปาก อร่อยถูกใจ ความสวยงามก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในยุคของ Camera Eat First ที่จะทำให้ร้านได้รับความนิยม และถูกบอกต่อเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การคิดค้นสูตรใหม่เพื่อสร้าง Selling Point เฉพาะตัว เรื่องของสูตรก็เป็นอะไรที่ต้องให้ความใส่ใจอย่างพิถีพิถัน เมื่อการชงเครื่องดื่มเมนูที่อยู่นอกเหนือสูตรมาตรฐานรสชาติทั่วไป การควบคุมคุณภาพและรสชาติให้คงที่จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการเลือกวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน โดยพระเอกหลักที่ขึ้นตรงกับผลลัพธ์ด้านรสชาติคือ “เมล็ดกาแฟ” และ “น้ำเชื่อมสำหรับผสมเครื่องดื่ม” นั่นเอง แหล่งเมล็ดกาแฟ และเอกลักษณ์ความหอม องค์ประกอบถัดมาของการเปิดร้านกาแฟให้พร้อมมัดใจลูกค้าด้วยรสชาติ คือการคัดสรรเมล็ดกาแฟที่ตอบโจทย์ทั้งความชอบ และพฤติกรรมการดื่มกาแฟของลูกค้าที่ร้านของเรา ยิ่งในยุคทองของร้านคาเฟ่ที่การแข่งขันสูง การเลือกเมล็ดกาแฟอย่างพิถีพิถัน เลือกด้วยความเข้าใจ ยิ่งมีผลกับการสร้างยอดขายเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น เมล็ดกาแฟที่ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในไทย กล่าวคือเป็น “Safe Zone” ของการเปิดร้านคาเฟ่ คงจะขาดกาแฟโรบัสต้าและกาแฟอาราบิก้าไปไม่ได้ ด้วยรสชาติที่คุ้นเคยกับต่อมรับรส ทั้งยังเข้าถึงง่าย ทำให้คุณสามารถรังสรรค์เมนูได้โดยไม่ต้องกลัวถึงความซับซ้อนของกลิ่นที่จะไปทำลายอรรถรสในการดื่มของลูกค้า  อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่คุณต้องการเพิ่มเมนูทางเลือก เจาะลึกลงไปในกลุ่มลูกค้านักดื่มกาแฟตัวยงด้วยเมล็ดกาแฟที่แตกต่าง การมองหาซัพพลายเออร์เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูง เพื่อค้นพบมิติใหม่ ๆ ในรสชาติ และนำไปต่อยอดเป็นเมนูที่ดึงเอาจุดเด่นของรสชาติกาแฟออกมาใช้แบบเต็มประสิทธิภาพก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีไม่น้อย อย่างไรก็ดี การทำเมนูที่ก้าวไปถึงขั้นของ Specialty Coffee ก็ควรจะมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของเมล็ดพันธุ์พิเศษ เพื่อที่จะได้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างที่ต้องการ คุณภาพวัตถุดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้ำเชื่อมที่ใช้ผสมเครื่องดื่ม! ยังคงสอดคล้องกับเทคนิคก้าวแรกในการเปิดร้านด้วยการวิเคราะห์กระแสที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค สิ่งหนึ่งที่จะค้นพบคือพฤติกรรมการดื่มกาแฟและเครื่องดื่มที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และผู้บริโภรคชอบที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการเลือกรังสรรค์รสชาติตามใจตัวเอง มากกว่าการดื่มตามสูตรที่อาจจะไม่ถูกปาก ถูกลิ้นเหมือนที่เคย นั่นจึงแปลว่าการทำร้านคาเฟ่ในยุคทองเช่นนี้ แทนที่จะใช้ขั้นตอนการทำเครื่องดื่มแบบดั้งเดิมที่ให้บาริสต้ายึดตามสูตรเพื่อรักษามาตรฐานให้คงที่ ก็หันมาเพิ่มความหลากหลายของสูตร เพื่อรองรับรสชาติที่แตกต่างในแต่ละเมนู เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นส่วนหนึ่งในการปรับแต่งความหวาน ในส่วนนี้น้ำเชื่อมผสมเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟเลือกใช้จึงต้องมีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถควบคุมรสชาติได้อย่างคงที่ ไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น  น้ำเชื่อมละลายเร็ว …

ผลิตภัณฑ์น้ำเชื่อมสำเร็จรูปให้ระดับความหวานแบบคงที่ ต้องโกลเด้น ไซรัป ตรามิตรผล พร้อมเผยเมนูเด็ดสร้างรายได้ ทำง่าย อร่อยมาก!

เจาะลึกน้ำตาลเบเกอรี ใช้ถูก ขนมอร่อย ร้านขายดี หลายคนคงอาจจะเคยเจอความผิดพลาดในการทำเบเกอรี ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำ อุณหภูมิการอบ หรือการเลือกใช้วัตถุดิบอย่าง “น้ำตาล” ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เบเกอรีไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัส   การเลือกใช้น้ำตาลให้เหมาะสมกับแต่ละเมนูจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีส่วนช่วยเรื่องความคงตัวและขึ้นฟู เก็บความชุ่มชื้น ชูรสชาติ และทำให้สีสันสวยงามน่ารับประทาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการมัดใจลูกค้าด้วยคุณภาพและรสชาติที่โดดเด่น น้ำตาลเบเกอรีมีความสำคัญอย่างไร น้ำตาลที่ใช้ในเบเกอรีมีหลายชนิดและมีความแตกต่างกัน ให้รสชาติและเนื้อสัมผัสไม่เหมือนกัน โดยน้ำตาลสำหรับทำเบเกอรีจะมีความเนียนละเอียดมากกว่าน้ำตาลทรายทั่วไป เพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องการละลายช้าในขนม, การขึ้นฟูไม่เต็มที่ หรือเนื้อขนมไม่เนียน อบแล้วเกิดรอยร้าว ซึ่งหากเลือกใช้น้ำตาลที่ถูกประเภทก็จะสามารถช่วยลดปัญหาในการทำเบเกอรีได้ วันนี้เรามาทำความรู้จักคุณสมบัติของน้ำตาลเบเกอรีทั้ง 3 ประเภทกันค่ะ 1. น้ำตาลเบเกอรี (Caster Sugar) น้ำตาลเบเกอรี คือน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ที่ผ่านกระบวนการทำให้มีขนาดเล็กลง เป็นเกล็ดละเอียด จึงสามารถผสมเข้ากับส่วนผสมอื่น ๆ ได้ง่าย ช่วยลดระยะเวลาในการตีส่วนผสม ทำให้เนื้อขนมเนียนนุ่ม เนื้อเค้กขึ้นฟูเร็วขึ้น รี่ซึ่งมีส่วนช่วยแก้ปัญหาในการทำเบเกอรี ดังนี้   ปัญหาเนื้อชิฟฟ่อนเกิดจุดสีน้ำตาล เกิดจากการที่น้ำตาลทรายปกติผสมกับแป้งไม่ดีพอ การใช้น้ำตาลเบเกอรีจะลดขั้นตอนในการผสม โดยที่ไม่ต้องเอาน้ำตาลไปปั่นก่อน ปัญหาทำเมอแรงก์สำหรับผสมในเนื้อเค้ก หากการตีน้ำตาลที่เกล็ดใหญ่เกินไป จะทำให้ใช้เวลาในการตีกับไข่ขาวนาน ซึ่งมีผลทำให้เค้กแข็งและเป็นรูภายในได้ ปัญหาเค้กไม่เนียน แข็งหรือแห้งเกินไป หากใช้น้ำตาลเบเกอรีจะช่วยให้ตัวแป้งขึ้นฟูได้เร็วขึ้น 2. น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรี (Brown Sugar for Bakery) น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรี คือน้ำตาลทรายแดงที่ผ่านกระบวนการร่อนจนได้เนื้อสัมผัสเนียนละเอียด สะดวก พร้อมใช้งาน หมดปัญหาการจับตัวกันเป็นก้อน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่กลิ่นหอมจากอ้อยธรรมชาติ ให้รสชาติหวานละมุน ช่วยให้เบเกอรีมีสีน้ำตาลสวยน่ารับประทาน นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยแก้ปัญหาในการทำเบเกอรี ดังนี้  ปัญหาเมนูบราวนี่ที่มีรสชาติหวานแหลมจนเกินไป เพราะต้องใช้ปริมาณน้ำตาลเยอะเพื่อความชุ่มฉ่ำและการขึ้นฟิล์ม หากใช้น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรีจะช่วยคงความชุ่มฉ่ำและช่วยให้รสชาติหวานละมุนกำลังดี ปัญหาเมนูทาร์ตที่เนื้อไม่กรอบร่วน น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรีจะช่วยให้ตัวแป้งกรอบร่วนตามที่ควรจะเป็น ปัญหาการอบคุกกี้ให้ได้สีน้ำตาลสวย แต่ไม่เป็นแบบที่ตั้งใจจากการเลือกใช้น้ำตาลผิดประเภท ทำให้ใช้เวลาในการอบนานเกินไปและกลายเป็นคุกกี้ไหม้ น้ำตาลทรายแดงสำหรับเบเกอรีจะช่วยเรื่องสีและกลิ่นของคุกกี้ 3. น้ำตาลไอซิ่ง (Icing Sugar) น้ำตาลไอซิ่ง คือน้ำตาลทรายขาวที่ทำการบดหรือปั่นอย่างละเอียด ผสมกับแป้งมันสำปะหลัง เพื่อป้องกันการจับตัวเป็นก้อน ในอดีตนิยมนำมาใช้ในการโรยตกแต่งหน้าเบเกอรี เช่น เค้ก, ขนมปัง, และโดนัท แต่ปัจจุบันน้ำตาลไอซิ่งเริ่มมีบทบาทในการทำเบเกอรีมากขึ้น สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในครีมหรือวิปปิ้งครีมสำหรับแต่งหน้าเค้ก เพื่อให้ครีมตั้งรูป มีความคงตัวมากขึ้น หรือผสมในเนื้อคุกกี้หรือทาร์ต เพื่อช่วยเพิ่มความกรอบยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยแก้ปัญหาในการทำเบเกอรี ดังนี้  ปัญหาการอบมาการองที่ขึ้นทรงได้ไม่ดี หากใช้น้ำตาลไอซิ่ง จะช่วยตั้งทรงให้ขามาการองขึ้นรูปได้ดีขึ้น ปัญหาการละลายช็อกโกแลตสำหรับตกแต่งหน้าเค้ก บางครั้งจะออกมาเหลวจนเกินไป การใช้น้ำตาลไอซิ่งเข้าไปผสมด้วยจะทำให้ตัวซอสช็อกโกแลตจับตัวอยู่บนหน้าเค้กได้ดีขึ้น เป็นยังไงกันบ้างสำหรับข้อมูลที่เอามาฝากกัน หวังว่าจะช่วยให้หลายท่าน ได้ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับน้ำตาลเบเกอรีมากขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้ให้ถูกได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำทานเองในครัวเรือนหรือทำขายสำหรับกิจการของคุณได้อย่างไร้ปัญหาค่ะ

ไขข้อข้องใจ น้ำเชื่อมสูตรดั้งเดิม VS น้ำเชื่อมสูตรละลายเร็ว ดีต่างกันอย่างไร? หนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำเครื่องดื่มและเบเกอรี่ ให้ได้รสชาติหวานคงที่และมีคุณภาพมาตรฐาน นั่นคือ น้ำเชื่อม เพราะเป็นตัวผสานความอร่อยของส่วนผสมต่างๆ ให้หวานกลมกล่อม ได้รสชาติที่ลงตัว แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเลือกน้ำเชื่อมที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ดังนั้นการเลือกใช้น้ำเชื่อมให้ถูกประเภทจึงเป็นสิ่งสำคัญ หลายคนอาจสงสัยว่า น้ำเชื่อมเข้มข้น สูตรดั้งเดิม แตกต่างจากน้ำเชื่อม สูตรละลายเร็วอย่างไร เรามาทำความรู้จักเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย 1. คุณสมบัติทั่วไปที่เหมือนกันของน้ำเชื่อมเข้มข้น สูตรดั้งเดิม และน้ำเชื่อม สูตรละลายเร็ว มีดังนี้ ให้ความหวานคงที่ สม่ำเสมอ ใช้ง่าย สะดวก ประหยัดเวลาในการเตรียมน้ำเชื่อม ไม่ตกผลึก หรือกลับมาเป็นเกล็ดน้ำตาลอีก จัดเก็บง่าย และเก็บได้นาน 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น 2.คุณสมบัติทื่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้งาน มีดังนี้ 3. คุณสมบัติของความคุ้มค่าในการใช้น้ำเชื่อมสำเร็จรูปทั้ง 2 ชนิด มีดังนี้ คุ้มค่าเรื่องต้นทุน เพราะน้ำเชื่อมสำเร็จรูป ตรามิตรผล ให้ความควานคงที่ มีคุณภาพ และช่วยลดต้นทุนได้ เช่น ไม่เปลืองค่าแก๊ส ค่าไฟ หากใช้ไม่หมดก็สามารถเก็บไว้ใช้งานต่อได้โดยไม่เสีย คุ้มค่าเรื่องเวลา น้ำเชื่อมสำเร็จรูป ตรามิตรผล ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้งานได้สะดวกสบาย สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเคี่ยว สามารถใช้เวลาไปกับการบริหารจัดการงานส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้น ไม่ว่าผู้ประกอบการจะเลือกใช้น้ำเชื่อมสำเร็จรูป ตรามิตรผล ประเภทไหน ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างดี เพราะผลิตภัณฑ์ได้ถูกคิดค้นสูตรมาเพื่อผู้ประกอบการ และการใช้งานจริง เพื่อให้ได้เมนูที่อร่อย รสชาติคงที่ มีคุณภาพ และได้มาตรฐานอย่างแน่นอน

3 สุดยอดเคล็ดลับ การใช้น้ำเชื่อมทำเบเกอรี่ จาก เชฟเลอ กอร์ดอง เบลอ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้หลายคนหันมาทำเบเกอรี่เป็นอาชีพหลัก และด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ทำให้ต้องมองหาเคล็ดลับที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อให้ได้เบเกอรี่อร่อย ได้มาตรฐาน แต่จะดีแค่ไหน หากเรารู้เคล็ดลับจากเชฟดังที่จะช่วยต่อยอดเบเกอรี่ให้เก่งขึ้น วันนี้เรามีเคล็ดลับจาก 3 เชฟเบเกอรี่ชื่อดังมาฝาก เชฟพฤกษ์ – พฤกษ์ สัมพันธวรบุตร เชฟท่านแรก เชฟพฤกษ์ – พฤกษ์ สัมพันธวรบุตร ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาจากการคว้าแชมป์ ‘เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย’ และเป็นศิษย์เก่า สถาบัน le cordon bleu Paris , ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของร้าน RawMat ร้านที่นำเสนออาหารในแบบ Chef’s Table มีความละเอียดอ่อนตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบจนกระทั่งรังสรรค์ออกมาเป็นเมนูพร้อมเสิร์ฟ เชฟพฤกษ์ได้แนะนำเมนู Deconstructed Apple Tart เป็นเมนูที่นำมาเสนอในรูปแบบใหม่ ด้วยการทำแป้งพายออกมาในรูปแบบของ Crumble ส่วนชิ้นแอปเปิ้ลนำไปแช่ใน Syrup โดยซอสที่ได้จากแอปเปิ้ล ถูกทำออกมาในรูปแบบมูสโฟม (Mouse Foam) เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่แตกต่าง เคล็ดลับสำคัญที่เชฟพฤกษ์นำน้ำเชื่อมมิตรผลมาใช้ในการทำขนม คือน้ำเชื่อมมิตรผลช่วยให้เบเกอรี่ มีสีสวย ขึ้นเงา และ ช่วยให้เนื้อสัมผัส หรือ Texture ของเบเกอรี่ได้คุณภาพ  นอกจากนี้เชฟได้แนะนำการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยนำไปพัฒนาต่อ และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และสำหรับเชฟรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จแบบเชฟพฤกษ์ อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง ต้องเรียนรู้ และฝึกฝนตลอดเวลา เชฟออย – วัชราพรรณ วณิชย์คูพลังกูร เชฟท่านที่สอง เชฟออย – วัชราพรรณ วณิชย์คูพลังกูร  ศิษย์เก่าจากสถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิตธานี คว้าอันดับ 1 หลักสูตร Diplôme de Pâtisserie และเป็นเจ้าของร้าน Three Bears Pastry ผู้ที่มีจุดเริ่มต้นจากความหลงใหลและมีใจรักในการทำเบเกอรี่ เชฟออยได้แนะนำเมนูเด็ดอย่าง Chocolate Espresso Flourless Cake พร้อมเคล็ดลับง่ายๆ มาฝาก เชฟเลือกใช้น้ำเชื่อมมิตรผลในการทำเมนู Chocolate Espresso Flourless Cake เพราะช่วยให้หน้าขนมเรียบเนียน มีเสน่ห์ น่ารับประทานมากขึ้น นอกจากนี้น้ำเชื่อมยังสามารถนำไปเคลือบหน้าชิ้นผลไม้ ทำให้ผลไม้มีความเงางามและอยู่ได้นานขึ้น สำหรับใครที่มีความฝันอยากเป็นเชฟ และประสบความสำเร็จในการทำเบเกอรี่ เชฟออยมีคำแนะนำง่ายๆ คือ อยากให้สร้างสรรค์ พลิกแพลง และไม่อยู่ในกรอบหรือสูตรที่เคยทำมา …